ถึงแม้ในสภาวะที่ร่างกายคุณเป็นปกติ ปัสสาวะก็อาจมีสีแตกต่างกันไปได้ขึ้นกับสิ่งที่คุณรับประทาน
ยกตัวอย่างเช่น บีตรูต หรือ บลูเบอร์รี่ อาจทำให้ปัสสาวะของคุณเปลี่ยนเป็นสีชมพูได้ ส่วนการรับประทานวิตามินบีเสริมจะทำให้ปัสสาวะเป็นสีเหลืองสด
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ปัสสาวะสีเหลืองเข้มก็อาจเป็นสัญญาณบอกว่าคุณดื่มน้ำไม่เพียงพอได้เช่นกัน
เช่นนั้นแล้ว ลองดื่มน้ำเปล่า น้ำผลไม้เจือจาง หรือชาสมุนไพรมาก ๆ เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น ปัสสาวะคุณก็ควรจะกลับมาเป็นสีเหลืองอ่อนตามปกติ แต่หากปัสสาวะมีสีน้ำตาลเข้ม หรือมีเลือดปนอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ซึ่งต้องได้รับยาต้านจุลชีพเพื่อรักษา หรืออาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะหรือนิ่วก็ได้
ถึงจะพบน้อยมาก แต่ก็อย่าประมาทเป็นดีที่สุด...
ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามดารา
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ พบบ่อยในสตรี โดยเฉพาะในช่วงอายุ 20-50ปี ทั้งนี้เพราะท่อปัสสาวะของผู้หญิงสั้นกว่าผู้ชายและอยู่ใกล้กับทวารหนัก เชื้อแบคทีเรียบริเวณทวารหนัก (ซึ่งปกติมีอยู่จำนวนมาก) จึงมีโอกาสสูงที่เคลื่อนเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการฟักตัวและอักเสบได้ในสตรีวัยเจริญพันธุ์
การมีเพศสัมพันธ์โดยเฉพาะในระยะแต่งงานกันใหม่ๆ ทำให้เกิดเชื้อแบคทีเรียหลุดเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะได้ง่าย ทำให้เกิดอาการอักเสบที่เรียกว่า Honey Moon Cystitis อาการ
การอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ ทำให้มีอาการดังนี้
1.ปัสสาวะบ่อย แต่ละครั้งจำนวนน้อย และกลั้นไม่ได้ ต้องรีบเข้าห้องน้ำ
2.แสบในท่อปัสสาวะ ปวดเสียวตอนถ่ายสุด
3.ตึง ปวดถ่วง บริเวณท้องน้อย
4.ปัสสาวะมีกลิ่นผิดปกติ
5.ปัสสาวะมีเลือดปน
การวินิจฉัย
วินิจฉัยได้ง่ายๆ โดยมีอาการดังกล่าวข้างต้นร่วมกับการตรวจปัสสาวะ โดยให้ถ่ายปัสสาวะช่วงแรกทิ้งไปก่อนแล้วจึงเก็บปัสสาวะช่วงถัดมาเพื่อทำการตรวจจะพบว่า มีจำนวนเม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดแดงผิดปกติ ในบางรายที่เป็นเรื้อรังอาจจำเป็นต้องเก็บปัสสาวะไปเพาะเชื้อเพื่อให้ทราบถึงแบคทีเรียชนิดนั้นด้วย
การรักษา
1.รับประทานยาปฏิชีวนะตามแพทย์สั่งประมาณ 3-5วัน แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการมาก ต้องรับประทานยาในระยะเวลาที่นานขึ้นคือประมาณ 7-10วัน
2.ผู้ที่มีอาการอักเสบได้ง่าย เช่น หลังมีเพศสัมพันธ์อาจต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันการอักเสบ
การป้องกัน
1.หมั่นรักษาความสะอาดบริเวณช่องคลอด ท่อปัสสาวะและทวารหนัก
2.บางครั้งเชื้อแบคทีเรียเมื่อหลุดเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะแล้วต้องใช้เวลาในการฟักตัวของเชื้อ ซึ่งการดื่มน้ำมากขึ้นจะสามารถขับแบคทีเรียออกมาได้
3.ไม่ควรกลั้นปัสสาวะไว้เป็นระยะเวลานานๆ เพราะการกลั้นปัสสาวะนานเป็นปัจจัยในการส่งเสริมให้เชื้อแบคทีเรียมีระยะฟักตัวในกระเพาะปัสสาวะนานขึ้น ยิ่งทำให้เกิดการอักเสบได้ง่าย
4.ผู้ป่วยที่มีอาการอักเสบบ่อยๆ เรื้อรัง ควรพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุแอบแฝงอื่นๆ เช่น นิ่ว กระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติจากระบบประสาทควบคุม หรือมีการอุดตันในกระเพาะปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะอักเสบมีผลร้ายแรงหรือไม่
ถ้ารักษาให้หายขาดจะไม่มีผลร้ายแรง ส่วนรายที่ไม่หายขาดนั้น เชื้อแบคทีเรียบางชนิดอาจมีผลทำให้การอักเสบลุกลามไปถึงส่วนใดก็จะทำให้เกิดการอักเสบได้ ดังนั้นหลังรับประทานยาครบแล้ว จึงควรตรวจปัสสาวะซ้ำอีกครั้ง
ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง บรอคโคลี่นอกจากจะนำมาปรุงเป็นอาหารจำพวกผัดหรือลวกจิ้มกับน้ำพริกได้แล้วนั้น บรอคโคลี่ยังมีสรรพคุณที่อาจจะช่วยต้านโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้อีกด้วยXML:NAMESPACE PREFIX = O />
จากการศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่า การรับประทานบรอคโคลี่อาจจะส่งผลดีช่วยป้องกันหรือลดการลุกลามของโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
หัวหน้าทีมวิจัยคุณหมอ Steven Schwartz จากมหาวิทยาลัย XML:NAMESPACE PREFIX = ST1 />Ohio State University เมือง Columbus ได้รายงานผลการศึกษาเบื้องตันจากห้องปฏิบัติการพบว่า มีสารบางชนิดในบรอคโคลี่ที่สามารถช่วยชะลอการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีแนวโน้มการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาก่อนหน้านี้ระบุว่า ทั้งในบรอคโคลี่และพืชกลุ่มกะหล่ำ จะมีสารบางชนิดที่ช่วยชะลอการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ โดยทดลองจากการใช้สารสกัดจากบรอคโคลี่ใส่ลงไปในหลอดทดลองที่เลี้ยงเซลล์มะเร็งกระเพาะปัสสาวะที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพบว่ามีการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งนั้นลดลง โดยสารที่ออกฤทธิ์ในการต่อสู้กับเซลล์มะเร็งที่มีอยู่ในบรอคโคลี่ ซึ่งน่าจะเป็นสารกลุ่ม isothiocyanate
เห็นข้อดีของบรอคโคลี่กันแล้ว เย็นนี้ลองหาซื้อบรอคโคลี่มาผัดน้ำมันหอยรับประทานกันบ้าง เพราะนอกจากจะได้อิ่มอร่อยกันทั้งครอบครัวแล้ว ยังป้องกันโรคมะเร็งได้อีกต่างหาก
ที่มา : หนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์ ไม่น่าเชื่อว่า แม้คนเราจะขับถ่ายปัสสาวะกันมาก ตั้งแต่แรกเกิด แต่หลายคนไม่ทราบวิธีที่ดีที่ทำให้ระบบขับถ่ายปัสสาวะเป็นปกติวันนี้จะขอเสนอ 14 อุปนิสัยที่ดีในการขับถ่ายปัสสาวะ
1. อย่ากลั้นปัสสาวะ เมื่อรู้สึกปวดต้องไปปัสสาวะ
2. เวลาปัสสาวะไม่ควรรีบร้อนเบ่งมาก เพราะอาจทำให้หูรูดปัสสาวะชำรุดได้
3. ควรถ่ายปัสสาวะให้เหลือน้อยที่สุดในหนึ่งครั้ง นั่นคือเมื่อรู้สึกถ่ายหมดแล้วให้เบ่งต่ออีกนิดหน่อย ปัสสาวะที่เหลือจะไหลออกมา
4. ไม่ควรบังคับให้ตนเองถ่ายปัสสาวะบ่อย เพราะจะติดเป็นนิสัย เวลาที่เหมาะสมคือ 2-4 ชั่วโมงควรถ่ายปัสสาวะหนึ่งครั้ง
5. ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะ และน้ำปัสสาวะของตนเองทุกครั้งว่า ต้องเบ่งมากผิดปกติหรือไม่น้ำปัสสาวะลำพุ่งดีหรือไม่ ลำน้ำปัสสาวะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมหรือไม่ น้ำปัสสาวะมีสีเหลืองใสหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นอาการผิดปกติที่สามารถบอกโรคได้
6. อาจจะล้างทำความสะอาดหลังปัสสาวะ แต่อย่าให้บริเวณนั้นเปียกชื้น เพราะอาจเกิดเชื้อราได้ทางที่ดีหลังปัสสาวะทุกครั้ง ควรซับให้แห้ง
7. เมื่อปัสสาวะไม่ออก ต้องหาสาเหตุโดยการไปพบแพทย์ อย่าซื้อยาขับปัสสาวะรับประทานเพราะจะเกิดอันตรายได้
8. เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน การบริหารอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบ (ฝ่ายหญิงขมิบช่องคลอด ฝ่ายชายขมิบทวารหนัก) วันละ 100 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด
9. ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 10 แก้ว หรือหนึ่งลิตร จะช่วยให้น้ำปัสสาวะใส มีจำนวนพอดีและป้องกันภาวะปัสสาวะอักเสบ
10. ก่อนมีเพศสัมพันธ์ และหลังมีเพศสัมพันธ์ คุณผู้หญิงควรถ่ายปัสสาวะทิ้ง จะช่วยป้องกันการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
11. น้ำปัสสาวะจะต้องเป็นน้ำเท่านั้น ถ้ามีมูก หนอง น้ำเหลือง เลือดปนออกมา ถือว่าผิดปกติต้องไปพบแพทย์
12. การขับถ่ายปัสสาวะ ต้องขับถ่ายคล่องไม่มีอาการเจ็บปวด ถ้าปัสสาวะแสบขัดลำบากนับว่าเป็นอาการผิดปกติ ต้องไปพบแพทย์อีกเช่นกัน
13. คนเราทุกคนต้องปัสสาวะทุกวัน วันละ 4-6 ครั้ง ถ้าไม่ปัสสาวะเลย 1 วัน ถือว่าตกอยู่ในภาวะอันตราย ต้องไปพบแพทย์โดยด่วน
14. ก่อนเดินทางไกล ก่อนยกของหนัก ควรปัสสาวะทิ้งก่อนทุกครั้ง
ที่มา: เฮฮาปาร์ตี้ |